อิฐมวลเบา

อิฐมวลเบา

อิฐมวลเบา ไทคอน G4 เกรด A
คุ้มค่า คุณภาพสูง มาตรฐานเยอรมัน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

อิฐมวลเบาไทคอน G4 เกรด B

ข้อดีของการใช้ อิฐมวลเบา

1. 1. ไม่อบความร้อน และมีรูพุนทำให้มีอากาศอยู่ภายใน ดูดซับเสียงได้ดี ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอก
   2. รับแรงกดได้ดีกว่าอิฐมอญ
   3. มีขนาดน้ำหนักมาตรฐานเท่ากันทุกก้อน ทำให้ก่อฉาบได้รวดเร็วและสวยงาม ทั้งแข็งแกร่ง เจาะได้แขวนได้
   4. ใช้จำนวนการก่อ 8.33 ก้อน/1 ตร.ม.
   5. ใช้ปูนก่อมวลเบา 100ก้อน/1ถุง ใช้ปูนฉาบ 100ก้อน/5ถุง

คุณสมบัติทางด้านวิศวกรรม

อิฐมวลเบา ไดมอนด์บล็อก ตราเพชร

เป็นอิฐมวลเบาระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูง (Autoclaved System) ผลิตโดยเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัย Masa Technology จากเยอรมัน ซึ่งทำให้มีคุณสมบัติที่แกร่งกว่าอิฐมวลเบาทั่วไป เนื่องจากผ่านการอบไอน้ำ ภายใต้ความดันสูงที่นานกว่าอิฐมวลเบารายอื่นในท้องตลาดทำให้เกิดการตกผลึก Calcium Silicate ที่แข็งแรงกว่า และน้ำหนักเบากว่า

อิฐมวลเบา ตราเพชร ไดมอนด์บล็อก 
20x60x7 cm  ราคา 16.35 บาท

*ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%

คุณสมบัติพิเศษ อิฐมวลเบาไดมอนด์บล็อก 

• ประหยัดพลังงาน กันความร้อนได้ดีกว่าอิฐมอญ 4-8 เท่า กันความร้อนจากภายนอกสู่ภายในอาคาร ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ถึง 25-30% จากเครื่องปรับอากาศ
• ทนไฟและป้องกันไฟลุกลามได้นานกว่า 4 ชั่วโมง ซึ่งนานกว่าผนังอิฐมอญ 2-4 เท่า และอายุการใช้งานยาวนาน
• น้ำหนักเบา ตัดแต่งง่าย ให้มีมิติที่เที่ยงตรง ไม่มีสารพิษและก่อสร้างได้รวดเร็วกว่าอิฐมอญ 2-3 เท่า
• มีฟองอากาสขนาดเล็กกระจายอยู่เต็มก้อน ช่วยในการดูดซับเสียงและลดความดังของเสียงจากภายนอกอาคาร และระหว่างห้องได้เป็นอย่างดี

ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติ อิฐไทคอน กับ อิฐก่อสร้างประเภทอื่นๆ

ประวัติความเป็นมาของ อิฐมวลเบา ในประเทศ

ก้าวสำคัญของการริเริ่มผลิตคอนกรีตมวลาเบาแบบมีฟองอากาศ-อบไอน้ำ เกิดขึ้นจากแนวคิดที่ว่าการนำเอาวัสดุที่มีอยู่มาพัฒนาเป็นวัสดุก่อสร้างชนิดใหม่  ที่มีความสามารถในการทำงานได้ดีกว่าเดิม เช่น มีความแข็งแกร่งน้ำหนักเบา ใช้งานได้นานและสะดวก

ปี ค.ศ. 1881 (พ.ศ. 2424) ประเทศสเปน

MICHACLIS ได้คิดค้นวัสดุก่อสร้างชนิดแรกที่ใช้ก่อผนัง บ่มด้วยไอน้ำ โดยมีส่วนผสมของทรายและปูนขาวเป็นวัตถุดิบหลัก

ปี ค.ศ. 1914 (พ.ศ. 2457) ประเทศอังกฤษ

AYLSWORTH ได้คิดค้นโดยการเพิ่มฟองอากาศในเนื้อวัสดุ  ทำให้มีน้ำหนักเบาโดยใช้ผงโลหะ ( Metallic Power) เป็นตัวทำปฏิกริยาทางเคมี

ปี ค.ศ. 1923 (พ.ศ. 2466) ประเทศสเปน

ERIKSSON ได้นำมาพัฒนาโดยรวมวิธีอบไอน้ำและเพิ่มฟองอากาศเข้าด้วยกันในเนื้อวัสดุก่อผนังเข้าด้วยกันในเนื้อวัสดุซึ่งเป็นผลทำให้ได้วัสดุก่อผนังที่เบาและมีความแข็งแกร่งสูง ซึ่งดีกว่าอิฐก่อผนังชนิดอื่นๆในโลก การผลิตคอนกรีตมวลเบาแบบมีฟองอากาศ – อบไอน้ำได้ถือกำเนิดขึ้นและพัฒนามาจนถึงปี 1929 (พ.ศ. 2472)

ปี ค.ศ. 1929 (พ.ศ. 2472) ประเทศเยอรมัน

ในช่วงสงครมโลก ได้มีการพัฒนากระบวนการผลิตให้เป็นรูปแบบของเครื่องจักรซึ่งควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อผลิตคอนกรีตมวลเบาแบบมีฟองอากาศ อบไอน้ำ สำหรับซ่อมแซมบ้านเรือน อาคารสำนักงาน ที่เสียหายจากสงครามและต่อมาเป็นที่นิยมอย่างมากในแถบยุโรป อเมริกา และเอเซีย

ปี ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538) ประเทศไทย

ด้วยประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ทำกำไรให้นักลงทุน แต่ทว่า งานก่อสร้างในประเทศไทยยังมีปัญหาในด้านการควบคุมการผลิตอิฐก่อผนัง ดังนั้นผู้ประกอบการรายใหญ่ จึงค้นพบการแก้ปัญหาในการก่อสร้างและลดความล่าช้าในการส่งมอบงานให้ตรงตามกำหนดเวลา ด้วยการซื้อลิขสิทธิผืการผลิต และเครื่องจักรจากประเทศเยอรมันนี จากผู้ผลิตชั้นนำของโลก คือ HEBLE YTONG และ WEHRHAHN เพื่อผลิตสินค้าออกสู่ตลาดในปี พ.ศ. 2539 – 2540 ตามลำดับ

ปี ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545) ประเทศไทย

เนื่องจากประเทศไทยมีความนิยมคอนกรีตมวลเบาแบบมีฟองอากาศ – อบไอน้ำ สูงมากขึ้นจึงมีผู้คิดค้นคอนกรีตมวลเบาแบบมีฟองอากาศ (ไม่อบไอน้ำ) มาทดแทน แต่ไม่เป็นที่นิยมในตลาด เพราะคุณภาพไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล

ที่มา: บทความจาก บริษัท ไทยไลท์บล็อคแอนด์แพเนล จำกัด